WP Cache ช่างมีมากมายหลายตัว เยอะจนเลือกไม่ถูกเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็น
หลังจากใช้ WP Super Cache มาตั้งนมนาน ก็ดีขึ้นมากๆ ครับ ถ้าตั้งค่าถูกนะ แต่ส่วนใหญ่ที่ค้นหาเจอจะแนะนำให้ใช้ WP Fastest Cache มากกว่า เพราะเหมือนจะทำงานได้ดีกว่า
แต่หลังจากมานั่งคิดๆ ดูแล้วเคนก็รู้จัก Cloudflare นี่หว่า งั้นก็เลยลองคิดว่า
ลองปิด WP Cache ทั้งหลายแล้วไปใช้ตัว Cache ของ Cloudflare เลยดีกว่า ได้ CDN ด้วย
เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วก็ต้องไปลองทดสอบดูซะเลยว่า ได้ผลดีขนาดไหน
ผลลัพธ์
เอ่อ…ก็ไม่ได้ดีไปกว่าการใช้ WP Cache ให้เท่าไหร่นะ ถ้าใช้มาตรวัดของ GTMetrix เป็นตัวตรวจสอบความเร็วในการเข้าถึง แต่ความรู้สึกของเคนเวลาเข้าเว็บนี่ แม่ม!! เร็วปรู๊ดปร๊าดมาก ถึงกับฟินไปเลยทีเดียว
ในเมื่อเราก็จะ Cache อยู่แล้ว ก็ให้ Cloudflare ทำ แถมเป็น CDN (Content Delivery Network) อีกด้วย ซึ่งทำให้เค้าถึงเร็วจากทุกมุมของโลก เว็บเราก็จะ Go Inter ให้บุคคลต่างประเทศเข้าถึงได้รวดเร็วอีก
สนใจมะ? สนใจก็อ่านต่อเลย
Cloudflare คืออะไรอ่ะ
อ้อ Cloudflare คือบริการที่เป็นตัวกลางก่อนถึง Server เรา หรือที่เคนเรียกว่าบริการบังหน้าครับ
จากปกติเวลาเราเรียก kanexkane.com ทางบราวเซอร์ก็จะยิงตรงมาที่ Server ที่เคนเช่าอยู่เลยโดยตรง แต่ถ้ามี Cloudflare ปุ๊บ บราวเซอร์จะวิ่งไปหา Cloudflare ก่อนแล้ว Cloudflare จะเรียกข้อมูลจากเว็บไซต์เราไปแสดงให้ในเบื้องต้น
แต่ถ้าเราทำ Sub Domain ก็อย่าลืมมาเพิ่ม DNS ให้มันด้วยล่ะ
คำเตือนอ่านก่อนนะ
ต้องสามารถจัดการ Name Server ของโดเมนของเราได้ด้วยตัวเองนะ เพราะเราจะให้ Cloudflare บังหน้าไง เราเลยต้องเปลี่ยน Name Server ให้ยิงไปที่ Cloudflare แล้วใน Cloudflare จะผูก DNS ไปที่ Server ของเราให้
Cloudflare ดียังไง?
อันนี้จะอธิบายเฉพาะส่วนที่เคนใช้ละกันนะ ความสามารถมันเยอะมาก มีทั้งฟรีและเสียเงินเพื่อเปิดความสามารถอื่นๆ อีก
CDN (Content Delivery Network)
Cloudflare เป็น CDN (Content Delivery Network) ซึ่งจะกระจาย Server อยู่ตามส่วนต่างๆ ของโลกครับ เมื่อเราผ่าน Cloudflare เค้าก็จะส่งเราไปหา Server ที่ใกล้ที่สุด
เช่น Cloudflare มี Server ที่อเมริกา แต่ Server เราวางไว้ที่ไทย เมื่อมีผู้เข้าชมเป็นคนอเมริกา ก็จะวิ่งไป Server ที่อเมริกาครับ เพราะ Cloudflare จะเก็บเนื้อหาของเราไว้ส่วนนึงเพื่อให้เรียกชมได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าไม่มีก็แค่จากอเมริกาวิ่งมาที่ Server ไทยแค่นั้นเอ๊งงงงงง
Cache
คือจากที่ต้องคิดว่า จะให้ใคร Cache ให้ดีว๊าาาาา งั้นให้ Cloudflare Cache ให้ละกันนะ
ปกป้องเว็บ
ก็เอาง่ายๆ ว่าป้องกันการโจมตีได้ระดับนึงเลย เพราะพี่แกช่วยบังหน้าไว้ให้
SSL
สำหรับปี 2560 นี้ Google ก็จะให้ความสำคัญกับ HTTPS มากขึ้นดังนั้นเว็บใครยังไม่เป็น https ก็มีบริการทำง่ายๆ ผ่าน Cloudflare ได้เลย
ตั้งค่ากัน
หลังจากประสบความฟินแล้วพร่ำเพ้อว่ามันดียังไงมาพอหอมปากหอมคอละ เรามาเริ่มตั้งค่ากันดีกว่า
หลังจากเราสมัครและยิง Name Server มาที่ Cloudflare เรียบร้อยแล้ว ก่อนตั้งค่าตัว Cloudflare จะทำการตั้งค่าส่วนพื้นฐานมาให้หมดแล้วแหละ เราแค่มาเขียน Page Rule เพิ่มนิดหน่อยก็ใช้งานได้แล้ว
เมนู Speed
ในส่วนนี้ติ๊กแค่ Autominify ก็เรียบร้อยครับ
เมนู Caching
ในส่วนนี้ รู้แค่ 2 ส่วนครับ ส่วน Clear Cache เรียกว่า Purge Cache
เวลาจะ Clear Cache ก็แค่คลิกลูกศรชี้ลง แล้วเลือก Purge Everything แค่นั้นเอง
และส่วนปรับระยะเวลาการแคช ของเคนอัพเดทเว็บวันละครั้งเคนเลยเลือกแคช 1 วัน
เมนู Page Rules นี่แหละสำคัญสุด
ส่วนนี้คือส่วนตั้งค่าเงื่อนไขว่าจะให้ Cloudflare ทำอะไรบ้าง ปกติก็จะเป็นเลือกๆ แต่เค้าคงคิดว่าให้ปรับแต่งได้มากที่สุดละมั้ง พอใช้เป็นแล้วก็ง่ายดีครับ หรือใครจะเบื้องต้นแบบเคนไปเลยก็ได้นะ คิดว่าเลือกมาค่อนข้างเหมาะสมกับหลายๆ อย่างแล้ว
ในส่วนที่ใช้งานฟรีนั้นทำได้ 3 Page Rules ครับ แต่ถ้าอยากได้เพิ่มก็จ่ายเพิ่มเดือนละ $1/Page Rule
ไปดูกันทีละส่วนครับ และการเรียงลำดับ ค่อนข้างสำคัญมากครับ เพราะทาง Cloudflare จะทำเงื่อนไขทีละลำดับ อย่างที่เห็นถ้าเอา Rule อันดับ 3 ที่ Cache ทุกอย่างแล้ว มาไว้อันดับ 2 ที่บอกว่าไม่ Cache wp-admin จะทำให้ wp-admin โดน Cache ไปก่อนแล้ว ถึงจะบอกว่าไม่ Cache ก็ไม่มีความหมายละครับ เพราะงั้นเรียงลำดับกันดีๆ ด้วยนะ
สรุป
เคนคิดว่ามันเป็นความยุ่งยากที่เหมาะสมควรจะทำนะ เพราะเมื่อทำแล้วมันได้หลายๆ อย่างด้วยอะ แต่ถ้าอยากใช้แค่ Plugin ก็คงแนะนำ WP Fastest Cache นะครับ เพราะมัน minify ได้